ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS


พัฒนาการคอมพิวเตอร์

1    พัฒนาการจากอดีตสู่ปัจจุบัน
พัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีในช่วง  100  ปีที่ผ่านมาได้เป็นไปอย่างรวดเร็วเห็นได้จากการที่มีคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณ  50  ปีที่แล้ว  ต่อมามีระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย  เทคโนโลยีไมโครคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาในช่วง  20  ปีเศษนี้เอง  และมีพัฒนาการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทุก ๆ ปีจะมีผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ใหม่ออกมาจำหน่ายจำนวนมาก
หากจะแบ่งการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์  จากอดีตสู่ปัจจุบัน  สามารถแบ่งเป็นยุคก่อนการใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์  และยุคที่เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์

2     เครื่องคำนวณในยุคประวัติศาสตร์
เครื่องคำนวณรู้จักกันดีและใช้กันมาตั้งแต่ในยุคประวัติศาสตร์คือ  ลูกคิด  จากหลักฐานประวัติศาสตร์พบว่า  ลูกคิดเป็นเครื่องคำนวณที่ใช้กันในหมู่ชาวจีนมากว่า  7,000  ปี  และใช้กันในอียิปต์โบราณมากว่า  2,500  ปี  ลูกคิดชาวจีนประกอบด้วยลูกปัดร้อยอยู่ในราวเป็นแถวตามแนวตั้ง  โดยแต่ละแถวแบ่งเป็นครึ่งบนและล่าง  ครึ่งบนมีลูกปัด  2  ลูก  ครึ่งล่างมีลูกปัด  5  ลูก  แต่ละแถวแทนหลักของตัวเลข
ความต้องการเครื่องคำนวณมีมาทุกยุคทุกสมัย  โดยเฉพาะในราวประมาณคริสต์ศักราชที่ 8 ถึง 15 เป็นช่วงที่มนุษย์มีความสนใจในเรื่องปรากฏการณ์ของโลกและดวงดาว  จึงมีผู้พยายามสร้างเครื่องช่วยคำนวณในรูปแบบไม้บรรทัดคำนวณเพื่อช่วยในการคำนวณตำแหน่งของดาว  จากหลักฐานซากเรือที่ขุดค้นพบซึ่งจมอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งในประเทศกรีซ  ได้พบเครื่องคำนวณที่ทำจากเฟืองมีอายุราวประมาณ  1800  ปี  เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณตำแหน่งของดาวเพื่อใช้ในการเดินเรือ
เครื่องคำนวณกลไกที่รู้จักกันดี  และจัดว่าเป็นเครื่องคำนวณที่ใช้ในการคำนวณตัวเลขที่แท้จริงคือ  เครื่องคำนวณของปาสคาล  เครื่องคำนวณของปาสคาลเป็นเครื่องที่บวกและลบด้วยกลไกเฟืองที่ขบต่อกัน  เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวเนื่องกัน  เบลส  ปาสคาล  (Blaise  Pascal)  นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส  ได้ประดิษฐ์เครื่องคำนวณนี้ในปี  พ.ศ.  2185  ปัจจุบันมีผู้ผลิตตามโครงร่างของปาสคาล  โดยใช้วัสดุพลาสติก  และวางขายตามศูนย์การค้า  เครื่องคำนวณของปาสคาลจึงเป็นเครื่องคำนวณกลไกที่รู้จักแพร่หลายเป็นอย่างดี  ต่อมาในปี  พ.ศ.  2237  กอดฟริด  ฟอนไลบ์นิช  (Gottfried  von  Leibniz)  ชาวเยอรมัน  ได้ประดิษฐ์เครื่องคำนวณที่มีขีดความสามารถในการคูณและหารได้
จากรากฐานความรู้ในเรื่องเครื่องคำนวณกลไกที่ปาสคาล  และไลบ์นิช  ได้วางไว้ทำให้มีผู้พัฒนาเครื่องคำนวณต่อเนื่องกันมา  และมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ  ในช่วงประมาณปี  พ.ศ.  2240 – 2343 อุตสาหกรรมทอผ้าได้เจริญก้าวหน้า  ทำให้มีความพยายามในการผลิตเครื่องทอผ้าอัตโนมัติด้วยกลไก  มีการใช้บัตรเจาะรูเพื่อช่วยให้เครื่องจักรทำงานตามโปรแกรมที่วางไว้
บุคคลอีกผู้หนึ่งมีบทบาทสำคัญมากต่อการผลิตเครื่องจักรช่วยคำนวณในยุคกลไก  คือ  ชาร์ลส์  แบบเบจ  (Charles  Babbage)  ชาวอังกฤษ  ในปี  พ.ศ.  2343  เขาประสบผลสำเร็จในการสร้างเครื่องคำนวณที่เรียกว่า  ดิฟเฟอเรนซ์เอนจิน (difference  engine)  ต่อมาในปี  พ.ศ.  2354  เขาเริ่มต้นโครงงานในการพัฒนาเครื่องคำนวณแบบใหม่เรียกว่าแอนาไลติคอลเอนจินต้องใช้กลไกจำนวณมากและต้องใช้สิ้นส่วนที่มีความละเอียดสูง ซึ่งเทคโนโลยีในขณะนั้นไม่สามารถรองรับการผลิตชิ้นส่วนเหล่านั้นได้  ทำให้เครื่องจักรที่เขาผลิตมานั้นไม่สามารถใช้งานได้
ต่อมาในปี  พ.ศ.  2439  ฮอลเลอริชได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรช่วยในการคำนวณ  โดยใช้ชื่อบริษัท  คอมพิวติง  เทบบูลิม เรดคอสดิง  หลังจากนั้นในปี  พ.ศ.  2467  ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัทไอบีเอ็ม  (International  Business  Machine  :  IBM)  บริษัทไอบีเอ็มนี้มีบทบาทสำคัญในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ของโลก
ในปี  พ.ศ.  2487  บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่องคำนวณที่สามารถคำนวณจำนวนที่มีค่าต่าง ๆ ได้  โดยหัวหน้าโครงการคือ  ศาสตราจารย์โฮวาร์ด  ไอเกน(Howard  Aiken)  แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  และให้ชื่อเครื่องคำนวณนี้ว่า  มาร์กวัน(Mark I)

3     คอมพิวเตอร์ยุคหลอดสุญญากาศ (พ.ศ.  2488 – 2501)
ในปี  พ.ศ.  2486  วิศวกรสองคนคือ  จอห์น  มอชลี(John  Mouchly)  และเจ  เพรเปอร์  เอ็ดเคิร์ท  (J.Presper  Eckert) ได้เริ่มพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์  และจัดได้ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไป  เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไปเป็นเครื่องแรกของโลก  มีชื่อว่า  อินิแอค  (Electronec  Numerical  integrator  Calculate  :  ENIAC)  โดยเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศ  และใช้งานที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย  ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้ก็มีการสร้างคอมพิวเตอร์และเครื่องคำนวณที่ใช้หลอดสุญญากาศขึ้นอีกหลายรุ่น  เช่น  IBM 603,  IBM 604,  และ  IBM  SSEC  แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไอบีเอ็มสร้างยุคหลอดสุญญากาศยุคแรกนี้ยังเน้นในเรื่องการคำนวณ
ในปี  พ.ศ.  2488  จอห์น  วอน  นอยแมน  (John  Von  Neumann)  ได้สนใจเครื่องอินิแอค  และได้เสนอแนวคิดในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยความจำ  เพื่อใช้เก็บข้อมูลและโปรแกรมการทำงานหรือชุดคำสั่งของคอมพิวเตอร์  คอมพิวเตอร์จะทำงานโดยเรียกชุดคำสั่งที่เก็บไว้ในหน่วยความจำมาทำงาน  หลักการนี้เป็นหลักการที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
หลอดสุญญากาศเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดใหญ่  และต้องใช้กระแสไฟฟ้ามาก  เพื่อเผาไส้หลอดให้เกิดประจุอิเล็กตรอนวิ่งผ่านแผ่นตาราง (grid)  การทำงานของหลอกสุญญากาศใช้วิธีการควบคุมการไหลของกระแสอิเล็กตรอนที่วิ่งผ่านแผ่นตาราง
คอมพิวเตอร์ในยุคหลอดสุญญากาศได้เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ  มีการพัฒนาหน่วยความจำถาวรที่เก็บข้อมูลได้จำนวณมาก  ระยะแรกใช้วิธีการเก็บข้อมูลในบัตรเจาะรู  แต่ทำงานได้ช้า  จนในที่สุดก็มีการใช้หน่วยเก็บข้อมูลในรูปจานแม่เหล็ก  วงแหวนแม่เหล็ก  วิธีการที่ใช้เก็บข้อมูลในวงแหวนแม่เหล็กใช้มาจนถึงประมาณปี  พ.ศ.  2513  นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาวิธีการเก็บข้อมูลในรูปดรัมแม่เหล็ก  และเทปแม่เหล็กอีกด้วย

4     คอมพิวเตอร์ยุคทรานซิสเตอร์  (พ.ศ.  2500 – 2507)
นักวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการวิจัยเบล  (Bell  laboratories)  แห่งสหรัฐอเมริกา  ได้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ได้สำเร็จ  ทรานซิสเตอร์มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการสร้างคอมพิวเตอร์  เพราะทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็ก  ใช้กระแสไฟฟ้าน้อย  มีความคงทนและเชื่อถือได้สูงกว่า  และที่สำคัญสามารถผลิตได้ในราคาที่ถูกกว่าหลอกสุญญากาศ  ดังนั้นคอมพิวเตอร์ในยุคต่อมาจึงใช้ทรานซิสเตอร์  และทำให้สิ้นสุดคอมพิวเตอร์ยุคหลอดสุญญากาศในเวลาต่อมา
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ในยุคแรก ๆ ของบริษัทไอบีเอ็ม  เช่น  IBM  1401  เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง  มีขีดความสามารถในเชิงการทำงานได้ดีขึ้น  การเริ่มต้นใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ยุครานซิสเตอร์นี้ทำให้มีการผลิตคอมพิวเตอร์และใช้งานแพร่หลายกว่ายุคหลอดสุญญากาศมาก  องค์การและหน่วยงานทั้งในภาครัฐบาลและเอกชนได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งาน  และในปี  พ.ศ.  2507  บริษัทไอบีเอ็มได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเมนเฟรม  (main  frame)  และถือได้ว่าเป็นรากฐานการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคต่อมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับในประเทศไทยก็มีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้เข้ามาใช้เช่นกันในปี  พ.ศ.  2507  โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำเข้ามาใช้ในการศึกษา  ในระยะเวลาเดียวกันสำนักงานสถิติแห่งชาติก็นำมาเพื่อใช้ในการคำนวณสำมโนประชากร  นับเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ในประเทศไทย  คอมพิวเตอร์ยุคทรานซิสเตอร์นี้  หน่วยเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาไปมากจนทำให้ระบบการเก็บข้อมูลในจานแม่เหล็กมีความจุได้สูงขึ้นมาก
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว  เช่น  องค์การนาซาของสหรัฐอเมริกา  ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการคำนวณและควบคุมยานอวกาศต่าง ๆ ในยุคแรก  และมีพัฒนาการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

5     คอมพิวเตอร์ยุควงจรรวม  (พ.ศ.  2508 – 2512)
ประมาณปี  พ.ศ.  2508  ได้มีการพัฒนาวิธีการสร้างทรานซิสเตอร์จำนวนมากลงบนแผ่นซิลิกอนขนาดเล็ก  และเกิดวงจรรวมบนแผ่นซิลิกอนที่เรียกว่า  ไอซี
บริษัทไอบีเอ็มเริ่มใช้ไอซีกับเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกคือ  ซิสเต็ม/370  โมเดล  145  (system/370 model 145)  และผลิตออกขาย  พัฒนาการของไอซีทำให้คอมพิวเตอร์มีความซับซ้อนสูงขึ้น  มีวงจรการทำงานที่ทำการคิดคำนวณจำนวนเต็มได้เป็นหลายล้านครั้งต่อวินาที  นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาหน่วยความจำที่ใช้ไอซีทำให้มีความจุมากขึ้น  ในยุคต้นสามารถผลิตไอซีหน่วยความจำที่มีความจุหลายกิโลบิตต่อชิพ  (chip)  และเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ  ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาการทางด้านอุปกรณ์เก็บข้อมูลมาเป็นฮาร์ดดิสก์  (hard  disk)  โดยนำแผ่นบันทึกหลาย ๆ แผ่นวางซ้อนกัน  มีหัวอ่านหลายหัว  ฮาร์ดดิสก์ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความจุในการเก็บข้อมูลได้มากและรวดเร็ว
ด้วยการใช้ไอซีเป็นส่วนประกอบ  ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง  ราคาถูกลง  จึงมีบริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์มากขึ้น  คอมพิวเตอร์ขาดเล็กลงที่เรียกว่ามินิคอมพิวเตอร์  (mini  computer)  จึงขายดีในยุคนั้น  อุตสาหกรรมในการผลิตคอมพิวเตอร์ในสหรัฐอเมริกาขยายตัว  ทำให้มีบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นหลายราย

6     คอมพิวเตอร์ยุค  วีแอลเอสไอ  (พ.ศ.  2513 – 2532)
เทคโนโลยีทางด้านการผลิตวงจรอิเล็กทรอนิกส์ยังคงก้าวหน้าย่างต่อเนื่อง  มีการสร้างเป็นวงจรรวมที่มีขนาดใหญ่มารวมในแผ่นซิลิกอนขนาดเล็ก  เรียกว่า  วงจรวีแอลเอสไอ  (Very  Large  Scale  Integrated  circuit  :  VLSI)  เป็นวงจรร่วมที่สามารถนำทรานซิสเตอร์จำนวนล้านตัวมารวมกันอยู่ในแผ่นซิลิกอนขนาดเล็ก  และผลิตเป็นหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนเรียกว่าไมโครโพรเซสเซอร์  (microprocessor) 
การใช้วีแอลเอสไอเป็นวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์  ทำให้สามารถผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  เรียกว่า  ไมโครคอมพิวเตอร์  (microcomputer)  ไมโครคอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แพร่หลายและมีผู้ใช้งานกันทั่งโลก
การที่คอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูง  เพราะวีแอลเอสไอเพียงชิพเดียวสามารถสร้างเป็นหน่วยประมวลผลของเครื่องทั้งระบบหรือเป็นหน่วยความจำที่มีความจุสูงหรือเป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานต่าง ๆ ขณะเดียวกันพัฒนาการของฮาร์ดดิสก์ก็ทำให้ฮาร์ดดิสก์มีขนาดเล็กลงและมีความจุเพิ่มขึ้นแต่มีราคาถูกลง  เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จึงมีขนาดได้ตั้งแต่อยู่ในอุ้มมือที่เรียกว่า  ปาล์มทอป  (plam  top)  ขนาดโน้ตบุ๊ค  (note  book)  และคอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะ  (desk  top)
ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้ง่าย  และมีซอฟต์แวร์ในการใช้งานจำนวนมาก  เช่น  ซอฟต์แวร์ประมวลคำ  ซอฟต์แวร์ตารางทำงานและซอฟต์แวร์กราฟิก

   7  คอมพิวเตอร์ยุคเครือข่าย  (พ.ศ.  2533 – ปัจจุบัน)
            วงจรวีแอลเอสไอได้รับการพัฒนาให้มีความหนาแน่นของจำนวนทรานซิสเตอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันสามารถผลิตจำนวนทรานซิสเตอร์ลงในแผ่นซิลิกอนขนาดเล็กได้มากกว่าสิบล้านตัว  ทำให้วงจรหน่วยประมวลผลกลางมีขีดความสามารถมากขึ้น
            เมื่อไมโครคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูงขึ้น  ทำงานได้เร็ว  การแสดงผลและการจัดการข้อมูลก็ทำได้มาก  สามารถประมวลผลและแสดงผลได้ครั้งละมาก ๆ จึงทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้หลายงานได้พร้อมกัน  (multitasking)  ดังจะเห็นได้จากโปรแกรมจัดการประเภทวินโดวส์ในปัจจุบันที่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์การ  มีการทำงานเป็นกลุ่ม  (work  group)  โดยใช้เครือข่ายท้องถิ่นที่เรียกว่าแลน  (Local  Area  Netwek  :  LAN)  เมื่อเชื่อมการทำงานหลาย ๆ กลุ่มขององค์การเข้าด้วยกันเกิดเป็นเครือข่ายขององค์การเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายสากลที่ต่อเชื่อมกันทั่วโลกก็เรียกว่าอินเทอร์เน็ต  (internet)
            คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันจึงเป็นคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงต่อถึงกัน  ทำงานร่วมกัน  ส่งเอกสารข้อความระหว่างกันได้  สามารถประมูลผลรูปภาพ  เสียง  และวีดิทัศน์  ไมโครคอมพิวเตอร์ในยุคนี้จึงทำงานกับสื่อหลายชนิดที่เรียกว่าสื่อประสม (multimedia)

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS